ไตพัง! ทั้งที่ไม่ได้กินเค็ม เพราะพฤติกรรมแบบนี้ที่ทำทุกวัน

จำนวนผู้เข้าชม : 15
Tag:

ไตพัง! ทั้งที่ไม่ได้กินเค็ม เพราะพฤติกรรมแบบนี้ที่ทำทุกวัน

ไตพัง! ทั้งที่ไม่ได้กินเค็ม เพราะพฤติกรรมแบบนี้ที่ทำทุกวัน

หลายคนมั่นใจว่าไม่กินเค็ม ไตต้องแข็งแรงแน่ๆ แต่รู้ไหมว่าความจริงแล้วโรคไตไม่ได้เกิดจากการกินเค็มเพียงอย่างเดียว 

พฤติกรรมเล็กๆ ที่คุณทำอยู่ทุกวัน เช่น การดื่มน้ำน้อย พักผ่อนไม่พอ กินยาแก้ปวดบ่อย หรือดื่มชา กาแฟแทนน้ำเปล่า อาจเป็นตัวการที่ค่อยๆ ทำให้ไตเสื่อมโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าใช้ชีวิตแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ วันหนึ่งอาจพบว่าตัวเองมีค่าการทำงานของไตลดลงจนต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง

อย่าคิดว่าไม่กินเค็มแล้วจะรอด! มาดูกันว่าพฤติกรรมไหนที่แอบทำร้ายไตทุกวันโดยไม่รู้ตัว และจะป้องกันได้ยังไง

 

ไม่กินเค็มก็เสี่ยง เข้าใจโรคไตให้มากขึ้น

แน่นอนว่าการกินเค็มมากเกินไปเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยง เพราะโซเดียมจะไปเพิ่มภาระให้ไตต้องกรองของเสียมากขึ้น หากสะสมเป็นเวลานานก็อาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคไตเรื้อรัง แต่ระดับความเสี่ยงก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมโดยรวมของแต่ละคนด้วย

หากแค่กินอาหารรสเค็มเป็นครั้งคราว ผลกระทบอาจไม่รุนแรงเท่าคนที่กินเค็มเป็นนิสัย จนร่างกายเกิดการสะสมของเกลือเรื้อรัง แต่ถึงอย่างนั้นสาเหตุของโรคไตไม่ได้มีเพียงเรื่องโซเดียม เท่านั้น

ไตของเราทำงานมากกว่าที่คิด มันกรองเลือด ควบคุมระดับน้ำในร่างกาย รักษาสมดุลเกลือแร่ สร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความดันโลหิตและการสร้างเม็ดเลือดแดง เพราะฉะนั้น หากมีสิ่งใดไปรบกวนระบบเหล่านี้ ก็สามารถทำให้ไตเสื่อมได้ แม้ไม่เกี่ยวข้องกับเกลือเลยก็ตาม

สาเหตุของไตวาย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury)

เกิดขึ้นแบบรวดเร็ว ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน จากภาวะที่ร่างกายถูกกระทบอย่างรุนแรง เช่น

  • ช็อกจากการเสียเลือดมาก
  • หัวใจวายเฉียบพลัน
  • อุบัติเหตุรุนแรง
  • การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)

 เหตุเหล่านี้ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงไตไม่พอ จนไตทำงานลดลงแบบฉับพลัน


ไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

เป็นภาวะที่ไตเสื่อมลงอย่างช้าๆ ต่อเนื่องนานเกิน 3 เดือน โดยสาเหตุหลักในปัจจุบันถึงกว่า 70% มาจาก โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นที่หลายคนไม่รู้ เช่น

  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำที่ไต
  • ภาวะนิ่วในไต หรือการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ
  • การกินสมุนไพรหรืออาหารเสริมบางชนิดต่อเนื่องนานเกินไป
  • การใช้ยาแก้ปวด ยาลดอักเสบ หรือยาอื่นๆ โดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์

สิ่งเหล่านี้อาจค่อยๆ ทำให้ไตทำงานลดลงโดยที่ไม่มีอาการเตือนในระยะแรก จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีไตอาจทำงานได้ไม่ถึงครึ่งแล้ว

 

พฤติกรรมแสนธรรมดา แต่ทำร้ายไตทุกวัน

ลองเช็กดูสิว่าคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้หรือเปล่า

  • ดื่มน้ำน้อยเกินไป จนปัสสาวะข้น สีเข้ม และของเสียสะสมในร่างกาย
  • ดื่มชา กาแฟ หรือน้ำหวานแทนน้ำเปล่า รู้สึกเหมือนได้ดื่มน้ำ แต่แท้จริงกลับยิ่งทำให้ร่างกายขาดน้ำ
  • กินยาแก้ปวด ยาลดอักเสบ หรือยาสมุนไพรเป็นประจำ โดยไม่ปรึกษาแพทย์ ยาหลายชนิดมีผลต่อการทำงานของไต
  • พักผ่อนไม่พอ เครียดเรื้อรัง หรือกินอาหารสำเร็จรูปบ่อย พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ความดันโลหิตสูงและระดับน้ำตาลในเลือดแปรปรวน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคไตเรื้อรัง

ถึงแม้คุณจะไม่กินเค็มเลย แต่หากดื่มน้ำน้อย พักผ่อนไม่พอ ดื่มชา กาแฟแทนน้ำเปล่า หรือใช้ยาบ่อยโดยไม่จำเป็น ก็ยังมีสิทธิ์ไตพังได้ไม่ต่างกัน การดูแลไตจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเกลือในอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมทั้งหมดในชีวิตประจำวันที่คุณเลือกทำซ้ำทุกวันด้วย

 

สัญญาณเตือนที่บอกว่า ไตกำลังพัง แบบเงียบๆ

โรคไตเป็นหนึ่งในโรคที่เงียบที่สุดในช่วงแรกๆ เพราะไตของเรามีความสามารถในการทำงานทดแทนกันได้ แม้ไตข้างหนึ่งเริ่มเสื่อม อีกข้างก็ยังทำงานต่อไปได้โดยไม่มีอาการให้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่หลายคนมารู้ว่าตัวเองเป็นโรคไตก็ตอนที่ค่าการทำงานของไตลดลงเกินครึ่งแล้ว

แต่ร่างกายก็ยังมีสัญญาณเล็กๆ ที่กำลังบอกให้คุณรู้ว่า ไตอาจเริ่มมีปัญหา หากสังเกตดีๆ คุณอาจพบหนึ่งในอาการเหล่านี้

1. ปัสสาวะเปลี่ยนไปจากเดิม

ปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ บ่งบอกได้ถึงการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ, ปัสสาวะเป็นสีเข้ม หรือมีเลือดปน, ปัสสาวะน้อยลง ทั้งที่ดื่มน้ำเท่าเดิม และปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน จนรบกวนการนอน

2. บวมง่าย น้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ

ไตมีหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกาย เมื่อไตเริ่มทำงานได้ไม่ดี ร่างกายจะขับน้ำออกไม่หมด ทำให้เกิดอาการบวมที่หน้า หนังตา มือ ขา หรือเท้า โดยเฉพาะตอนตื่นนอนตอนเช้า บางคนอาจรู้สึกแน่นรองเท้า หรือสวมแหวนไม่เข้าทั้งที่น้ำหนักขึ้นเพียงเล็กน้อย

3. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง

ไตมีส่วนช่วยสร้างฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อไตเสื่อม ร่างกายจะผลิตเม็ดเลือดแดงลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย หน้ามืด หรือไม่มีแรงทั้งที่พักผ่อนเพียงพอ

4. ความดันโลหิตสูง หรือควบคุมความดันได้ยาก

ผู้ที่เป็นโรคไตมักมีความดันสูงร่วมด้วย เพราะเมื่อไตทำงานผิดปกติ จะเกิดการคั่งของเกลือและน้ำในร่างกาย ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งในทางกลับกันความดันสูงก็เป็นตัวการที่ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นเช่นกัน วงจรอันตรายที่มักมาคู่กันเสมอ

5. เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือมีกลิ่นปากคล้ายแอมโมเนีย

เมื่อไตกรองของเสียได้ไม่หมด ของเสียในเลือดจะค่อยๆ สะสม จนส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารและรสชาติในปาก บางคนอาจรู้สึกคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปากแห้ง หรือมีกลิ่นปากคล้ายแอมโมเนีย

 

เช็กสุขภาพไตก่อนสายเกินไป

โรคไตมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น หลายคนยังรู้สึกแข็งแรงดีแต่ค่าการทำงานของไตกลับลดลง เพราะไตเป็นอวัยวะที่อดทนมาก มันสามารถทำงานต่อไปได้แม้เหลือสมรรถภาพเพียง 30–40% กว่าที่ร่างกายจะเริ่มแสดงอาการ 
ดังนั้น การตรวจสุขภาพไตเป็นประจำจึงสำคัญมาก ไม่ใช่แค่สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวเท่านั้น แต่รวมถึงทุกคนที่ต้องการป้องกันไว้ก่อน

การตรวจสุขภาพไตทำอะไรบ้าง?

  1. ตรวจเลือดดูค่า Creatinine และคำนวณค่า eGFR (Estimated Glomerular Filtration Rate)
  • Creatinine คือของเสียที่เกิดจากการสลายของกล้ามเนื้อในแต่ละวัน ร่างกายจะขับออกทางไต หากไตทำงานได้ไม่ดี ระดับ Creatinine จะสูงขึ้น
  • eGFR เป็นค่าที่บอกประสิทธิภาพการกรองของไต ว่าไตยังทำงานได้กี่เปอร์เซ็นต์ ค่าปกติควรมากกว่า 90 ml/min/1.73 m² หากต่ำกว่า 60 ติดต่อกันเกิน 3 เดือน ถือว่าไตเสื่อมเรื้อรัง
  1. ตรวจปัสสาวะหาค่าโปรตีน (Proteinuria) หากพบโปรตีนในปัสสาวะ แปลว่าเยื่อกรองของไตเริ่มรั่ว ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคไต
  2. ตรวจความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด เพราะโรคเบาหวานและความดันสูงเป็นสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรัง การตรวจค่าทั้งสองอย่างจึงช่วยป้องกันได้ตั้งแต่ต้นเหตุ
  3. อัลตราซาวด์ไต (Ultrasound) ใช้ตรวจโครงสร้างของไต ดูว่ามีถุงน้ำ นิ่ว หรือการอุดกั้นใดๆ ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของไตหรือไม่

 

อย่ารอให้มีอาการถึงค่อยตรวจ เพราะเมื่อไตเริ่มเสียไปแล้ว จะไม่สามารถฟื้นกลับมาได้เหมือนเดิม การตรวจสุขภาพประจำปีจึงเป็นเหมือนระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ช่วยให้คุณรู้ทันก่อนที่ไตจะพังโดยไม่รู้ตัว

และนอกจากการดูแลตัวเองทุกวันแล้ว การมีประกันสุขภาพดีๆ ก็ช่วยแบ่งเบาความเสี่ยงได้มากเช่นกัน เพราะค่ารักษาโรคไต โดยเฉพาะในระยะเรื้อรังหรือช่วงฟอกไต อาจสูงถึงหลักแสนบาทต่อปี ประกันสุขภาพจากทิพยประกันภัยจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญ ที่ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ว่า หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา สอบถามรายละเอียดได้ที่ TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736  

 

ข้อมูลจาก : Phyathai Phaholyothin Hospital
ข้อมูลจาก : Phyathai 3 Hospital