น้ํามันเกียร์เปลี่ยนตอนไหน เพื่อให้ระบบเกียร์ทำงานได้อย่างเต็มที่
จำนวนผู้เข้าชม : 701
น้ำมันเกียร์เปลี่ยนตอนไหน เพื่อการทำงานของระบบเกียร์
น้ำมันเกียร์เป็นอะไรที่หลายคนยังเข้าใจผิด และคิดว่ารถยนต์ที่ใช้อยู่นั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตลอดการใช้งานก็ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วต้องเปลี่ยน เพราะน้ำมันเกียร์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการดูแลรักษาเครื่องยนต์เช่นเดียวกัน เพราะปกติแล้วน้ำมันเกียร์เมื่อใช้ไปสักพักจะเริ่มเป็นสีน้ำตาลเข้ม นาน ๆ เข้าก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำแถมยังมีความเหนียวหนืดกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งจะเกิดจากความร้อนในการทำงานของระบบเกียร์ เศษโลหะที่เข้าไปปนเปื้อนจะทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพลง หากไม่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ก็จะทำให้เกียร์พังได้
น้ำมันเกียร์เปลี่ยนตอนไหนดีที่สุด
ปกติแล้วเมื่ออายุการใช้งานของน้ำมันเกียร์อยู่ที่ 30,000 ถึง 40,000 กิโลเมตร ก็จะถึงระยะเวลาที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แล้ว แต่สำหรับใครที่ไม่รู้ว่า ใช้งานไปแล้วกี่กิโลเมตร จำไม่ได้ว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตอนไหนดี สามารถสังเกตได้ง่าย ๆ จากสีของน้ำมันเกียร์
ถ้าน้ำมันเกียร์มีสีเหลืองใส หรือสีออกแดงใส แสดงว่ายังอยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน แต่ถ้ามีสีที่ผิดแปลกไป เช่น มีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำข้น นั่นหมายความว่า น้ำมันเกียร์เสื่อมประสิทธิภาพ และได้เวลาเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แล้ว ถ้าฝืนใช้ต่อไปอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ รีบนำรถเข้าศูนย์บริการและเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ให้กับรถของคุณกันได้เลย
อาการที่บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์
ลองสังเกตความผิดปกติระหว่างขับขี่รถยนต์ว่ามีอาการดังต่อไปนี้หรือไม่ ถ้าใช่ ให้สันนิษฐานไว้เลยว่าเป็นความผิดปกติในระบบเกียร์หรือน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนและตรวจเช็กทันที
- เข้าเกียร์ในตำแหน่ง D หรือ R แล้วรถออกตัวยาก
- มีอาการกระตุกเมื่อเข้าเกียร์ D หรือ R
- จังหวะการเปลี่ยนเกียร์กระตุกบางครั้งก็มีอาการวืด
- เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ยากขึ้น
- เริ่มมีกลิ่นไหม้
- มีเสียงดังในจังหวะขับขี่เมื่อต้องเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์
น้ำมันเกียร์ระบบเกียร์ธรรมดากับเกียร์ออโต้ต่างกันหรือไม่
น้ำมันเกียร์สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา และน้ำมันเกียร์สำหรับรถยนต์อัตโนมัติมีความแตกต่างกัน เพราะน้ำมันเกียร์ธรรมดาจะทำหน้าที่ปกป้องความร้อนไม่ให้อุณหภูมิสูงขึ้นจนเกินไป ป้องกันเกียร์สึกหรอก่อนเวลาอันควร และน้ำมันเกียร์ยังช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนในระบบเกียร์ให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น แต่น้ำมันเกียร์อัตโนมัตินั้นจะเคลื่อนไหวได้จากระบบไฮดรอลิกที่ขับเคลื่อนโดยแรงของน้ำมันเกียร์ ซึ่งจะมีแรงดันเคลื่อนที่ผ่านระบบเกียร์ช่วยระบายความร้อนภายในเกียร์ได้แล้ว และยังช่วยให้เกิดแรงเสียดทานความร้อนสูงจากการใช้งานเป็นประจำอีกด้วย
ความสำคัญของน้ำมันเกียร์ต่อการทำงานระบบเกียร์
การตรวจสภาพรถยนต์ในส่วนของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์เป็นส่วนหนึ่งของผู้ขับขี่ที่ไม่ควรละเลย และถ้าหากอยากรักษาระบบเกียร์ของคุณให้อยู่ในสภาพใช้งานได้เป็นปกติ และลดโอกาสในการซ่อมที่มีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ขับขี่ควรตรวจสภาพรถยนต์เช็กระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก 48,000 กิโลเมตร หรือ 2 ปี ซึ่งการตรวจสภาพรถยนต์นั้นจะได้รับการเช็กระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ และช่วยให้ระบบเกียร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง และหลีกเลี่ยงการซ่อมเกียร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งถ้าหากเราเปลี่ยนเกียร์ตามกำหนดระยะเวลาส่งผลดังต่อไปนี้
1. เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างราบรื่น
ระบบน้ำมันเกียร์นั้นจะทำหน้าที่ช่วยให้หล่อลื่นชิ้นส่วนในระบบเกียร์ให้ทำงานได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
2. ให้การหล่อลื่น เพื่อลดการเสียดสี ป้องกันไม่ให้ความร้อนสูงเกินไป
น้ำมันเกียร์จะช่วยลดการเสียดสี ป้องกันไม่ให้เกิดความร้อนสูงจากการใช้งานเป็นประจำ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเกียร์ได้ อย่างไรก็ตาม น้ำมันเกียร์จะสลายตัวไปตามธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไป เราต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าน้ำมันเกียร์นั้นไม่ได้อยู่ในระดับที่ต่ำจนเกินไป และเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามรอบอย่างเหมาะสม
3. ช่วยถนอมชุดลูกยางที่อยู่ภายในเกียร์
ในระหว่างที่เกียร์ทำงาน จะเกิดความร้อนสะสมขึ้นเรื่อย ๆ ตามลักษณะการใช้งาน ซึ่งชุดลูกยางต่าง ๆ ในเกียร์จะทำหน้าที่กั้นน้ำมันเกียร์ และแรงดันไม่ให้รั่วไหลไปห้องอื่น ๆ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยน้ำมันเกียร์ที่ดีจะสามารถชโลมชุดโอริงให้ชุ่ม ป้องกันไม่ให้ชุดลูกยางเสียหายได้ แต่ถ้าน้ำมันเกียร์เสื่อม ชโลมชุดโอริงได้ไม่ดีพอ จะส่งผลให้ชุดลูกยางแห้งกรอบ เกิดความเสียหาย และทำให้รถออกตัวกระตุกได้
สรุปบทความ
สำหรับคนที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ก็ได้เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด ถ้าปล่อยไว้นานเข้าอาจส่งผลให้น้ำมันเกียร์ไม่สะอาดและเสื่อมสภาพ จะทำให้ระบบเกียร์มีปัญหาหากรถใช้เป็นประจำ การถ่ายน้ำมันเกียร์จำเป็นและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์และรถยนต์คู่ใจของคุณไปได้อีกยาวนาน