เช็กทุกขั้นตอนก่อนสอบใบขับขี่
จำนวนผู้เข้าชม : 40

เช็กทุกขั้นตอนก่อนสอบใบขับขี่
ใบขับขี่ในคนที่ขับรถเป็นแล้ว จะต้องมีกันทุกคนไม่ว่าจะมีรถเป็นของตัวเองหรือไม่มีก็ตาม เพราะในยามที่ต้องขับรถจะใกล้หรือไกลก็ตามจำเป็นต้องมีเอกสารชิ้นนี้ติดตัวไว้เสมอ เพื่อที่จะเป็นใบยืนยันว่าคุณได้ผ่านการทดสอบการขับขี่มาเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของกฎจราจร การขับขี่ที่ถูกต้องและเรียนรู้สัญลักษณ์การจราจรนั่นเอง แน่นอนว่าในคนที่ไม่เคยผ่านบททด สอบใบขับขี่ นี้มาก่อนจะไม่มีทางทราบเลย ไม่เพียงเท่านี้ยังมีประโยชน์อีกมากมาย ดังนี้
- ในกรณีที่รถที่มี ประกันรถยนต์ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย แต่ในทางกลับกันหากคุณไม่มีใบขับขี่ทางบริษัทประกันภัยจะไม่รับผิดชอบใด ๆ เพราะถือว่าคุณไม่ได้ขับขี่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
- ในกรณีถัดมาเมื่อคุณขับยานพานะไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ก็ตาม หากมีการเรียกตรวจ สอบใบขับขี่ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร แล้วพบว่าคุณไม่มีใบขับขี่รถหรือใบอนุญาตขับขี่ แน่นอนว่าคุณจะต้องถูกปรับตามกฎหมาย
- ในกรณีนี้มักเกิดขึ้นในการสมัครงาน โดยบางตำแหน่งงานจำเป็นต้องใช้ใบขับขี่ เพื่อที่จะทำให้คุณได้รับการตอบกลับเข้าทำงาน อาทิ พนักงานขับรถ พนักงานขายรถยนต์ เจ้าหน้าที่ในฝ่ายต่าง ๆ และอื่น ๆ ฉะนั้นหากใครไม่มีควรรีบไป สอบใบขับขี่ เพราะมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
หลักฐานที่ต้องใช้ในการทำใบขับขี่
- บัตรประชาชนตัวจริงเท่านั้น
- ใบอนุญาตฉบับเดิมของคุณ
- ใบรับรองแพทย์ จะต้องมีการออกมาแล้วอายุไม่เกิน 1 เดือน
ขั้นตอนการทดสอบ
- สำหรับตอนนี้การ สอบใบขับขี่ มีขั้นตอนที่สะดวกขึ้นอย่างมาก เพราะสามารถดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ได้แล้วในบางขั้นตอน เริ่มต้นที่การเข้าอบรมผ่านระบบ e-Learning ได้ทาง www.dlt-elearning.com
- ถัดมาเป็นการจองคิวสามารถดำเนินการผ่านแอพลลิเคชั่น DLT Smart Queue สำหรับระบบปฏิบัติการของมือถือ iOS Link : https://apple.co/2GIHARd แอนดรอยด์ Link: http://bit.ly/2IkLpyO เพื่อเข้ามาเช็คสมรรถภาพและออกใบอนุญาตขับรถ
- การ สอบใบขับขี่ จะมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกายออกใบอนุญาตขับรถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสายตาทั้งในระยะลึก กว้าง ทดสอบการมองเห็นสี (เขียว เหลือง แดง) และทดสอบปฏิกิริยาการเหยียบเบรกหลังเห็นไฟสัญญาณ
- เข้ารับการอบรม ใช้เวลาในการอบรมทั้งหมด 5 ชั่วโมง โดยจะแบ่งเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย อย่างไรก็ตามไม่สามารถอบรมแบบออนไลน์ได้
- ทดสอบด้วยข้อเขียน โดยขั้นตอนนี้จะทำผ่านระบบ E-exam จำนวน 50 ข้อ โดยกำหนดไว้ว่าต้องตอบให้ถูกอย่างน้อย 45 ข้อ หากต่ำกว่านั้นถือว่าไม่ถึงเกณฑ์ที่และต้องมาสอบใหม่ในวันถัดไปหรือไม่เกิน 90 วัน หลังอบรม
- ทดสอบแบบปฏิบัติ คือ การขับขี่จริง หากไม่สะดวกในวันนั้นสามารถนัดล่วงหน้าวันใหม่ได้ ดยข้อสอบจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 ท่าด้วยกัน ได้แก่
- การจอดรถเทียบทางเท้า
- การถอยรถเข้าซอง
- การขับเดินหน้าและถอยหลัง
- ถ่ายรูปทำใบขับขี่ พร้อมชำระเงิน หากผ่านขั้นตอนการทำใบขับขี่แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งประเภทรถทำให้มีค่าใช้จ่ายต่างกัน รถมอเตอร์ไซค์ค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ 255/คัน บาท ส่วนรถยนต์ 505 บาท/คัน เมื่อทราบลำดับขั้นตอนแล้วในเรื่องของวันสามารถติดต่อได้ล่วงหน้า 90 วัน หากขาดเกิน 1 ปี จะต้องเข้ารับการอบรมใหม่อีกครั้ง โดยจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง พร้อมทดสอบข้อเขียนใหม่ แต่หากขาดการต่อใบขับขี่มากกว่านั้น เป็นจำนวน 3 ปี ทั้งอบรม 2 ชั่วโมง ต่อด้วย ทดสอบข้อเขียนและทดสอบขับรถใหม่
ประเภทของใบขับขี่ที่คุณต้องรู้
สำหรับใบขับขี่ไม่ได้มีเพียงแค่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์เท่านั้น หากแต่มีการสอบหลากหลายประเภท เพื่อรองรับการขับขี่ ซึ่งทุกวันนี้ยานพาหนะมีหลายชนิด อาทิ รถสามล้อ รถบดถนน รถแทรกเตอร์ เป็นต้น เหล่านี้มีการใช้งานจริงตามประเภทของงานหรือการขับขี่ ฉะนั้นเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับใบขับขี่มากขึ้น เราไปดูกันว่าใบขับขี่มีกี่ชนิด แต่ก่อนอื่นไปดูการแยกประเภทกันก่อน ดังนี้
- ประเภท ส่วนบุคคล (บ.) หากจะให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ใบอนุญาตรถส่วนบุคคล ที่มีป้ายทะเบียนพื้นสีขาว ตัวเลขและตัวอักษรสีดำหรือเขียว
- ประเภท ทุกประเภท (ท.) คือ เป็นใบอนุญาตที่ได้กับรถทุกประเภทที่เป็นรถสาธารณะ จะมีป้ายทะเบียนพื้นสีเหลือง ที่สำคัญสามารถใช้ทดแทนใบอนุญาตรถประเภทส่วนบุคคลได้
ใบขับขี่มี 11 ชนิด ที่คุณต้องรู้และศึกษาไว้
- ใบอนุญาตขับรถชนิดชั่วคราว
- ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ
- ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
- ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
- ใบอนุญาตขับรถบดถนน
- ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์
- ใบอนุญาตขับรถชนิดอื่น
- ใบอนุญาตขับรถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี หรือใบขับขี่สากล
คุณคงเห็นแล้วว่าใบขับขี่มีความสำคัญมากแค่ไหนสำหรับคนที่ใช้รถ ไม่เพียงเป็นเอกสารที่ใช้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะเดินรถเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวที่แสดงให้เห็นว่าคุณได้ผ่านการทดสอบการขับขี่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ประกันรถยนต์ จะรับผิดชอบในส่วนค่าเสียหายทั้งของเจ้าของรถและคู่กรณี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำประกันภัยประเภทใด อย่างไรหากใครยังไม่มีใบขับขี่ควรรีบดำเนินการ สอบใบขับขี่ ให้ไวที่สุด เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ในการรับค่าชดเชยต่าง ๆ จากทางประกันภัยรถยนต์