ประกันชีวิต กับ ประกันสุขภาพ ต่างกันยังไง เลือกแบบไหนดี
จำนวนผู้เข้าชม : 6612
เปรียบเทียบประกันชีวิตกับประกันสุขภาพ แตกต่างกันอย่างไร
ในปัจจุบัน ประกันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการดำเนินชีวิต เพราะช่วยสร้างหลักประกันทางการเงิน และลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งประกันที่หลายคนให้ความสำคัญ คงหนีไม่พ้น “ประกันชีวิต และ ประกันสุขภาพ” แต่ทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และเราควรให้ความสำคัญกับตัวไหนมากกว่ากัน วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกัน พร้อมเปรียบเทียบข้อดีของประกันทั้งสองประเภท เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้น
ประกันสุขภาพ คืออะไร?
ประกันสุขภาพ เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ สำหรับการเจ็บป่วย การบาดเจ็บ หรือการรักษาตัวตามความจำเป็นทางการแพทย์ ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยบริษัทประกันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามความเหมาะสมของการรักษา ซึ่งอาจจ่ายตามจำนวนที่เรียกเก็บจริง หรือจ่ายตามจำนวนเงินเอาประกันที่ตกลงกันไว้ โดยมีทั้งประกันสุขภาพส่วนบุคคล และประกันสุขภาพกลุ่ม
ความคุ้มครองของประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลในหลายๆ กรณี ได้แก่
- ค่าห้องพักและค่าอาหารผู้ป่วยใน
- ค่ารักษาพยาบาลอื่น ๆ เช่น ค่ายา ค่าเอ็กซเรย์ ค่าห้องผ่าตัด ค่าวิสัญญี ค่าปรึกษาแพทย์ เป็นต้น
- ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) หรือแผนกฉุกเฉิน
- ค่าผ่าตัด เช่น ผ่าตัดใหญ่ ผ่าตัดเล็ก หรือการส่องกล้องตรวจโรค
- ค่าบริการทางการแพทย์อื่นๆ เช่น กายภาพบำบัด เคมีบำบัด รังสีรักษา การฟอกไต เป็นต้น
- ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
- การดูแลสุขภาพอื่นๆ เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี ทันตกรรม แว่นตา เป็นต้น
ประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันเป็นหลัก แต่บางบริษัทอาจขยายความคุ้มครองไปถึงคู่สมรส บุตร และบิดามารดาได้ด้วย ทั้งนี้ ความคุ้มครองจะแตกต่างกันไปตามแผนประกันและเงื่อนไขของแต่ละบริษัท รวมถึงวงเงินความคุ้มครอง และข้อยกเว้นต่างๆ จึงควรศึกษารายละเอียดให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ
ข้อดีของประกันสุขภาพ
นอกจากประโยชน์หลักๆ ที่กล่าวมาแล้ว ประกันสุขภาพยังมีข้อดีอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่
- ทำให้สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่อาจสูงเกินกำลังจ่าย
- มีแผนประกันให้เลือกได้ตามสภาพความเสี่ยง ความต้องการ และงบประมาณของแต่ละคน
- สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ เพราะโรคบางโรคมีค่ารักษาที่สูงมาก เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น
- ได้รับการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะสามารถตรวจสุขภาพ หรือเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่อาการเริ่มต้น
- สามารถใช้สิทธิ์ได้ในโรงพยาบาลเครือข่ายทั่วประเทศ และบางกรมธรรม์ครอบคลุมการรักษาในต่างประเทศด้วย
- มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยนำเบี้ยประกันสุขภาพบางส่วนไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนประกันสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ ของเว็บไซต์ TIPINSURE
ประกันชีวิต คืออะไร?
ประกันชีวิต คือ สัญญาที่บุคคลทำกับบริษัทประกันภัย โดยบุคคลนั้นตกลงจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า "เบี้ยประกันภัย" ให้กับบริษัทเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่บริษัทประกันภัย จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ภายใต้เงื่อนไขและข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญากรมธรรม์ประกันภัย โดยเบี้ยประกันภัยที่ต้องจ่ายนั้น อาจแบ่งชำระเป็นรายปี ราย 6 เดือน รายเดือน หรือชำระครั้งเดียวตลอดสัญญาก็ได้
ประเภทของประกันชีวิต
ประกันชีวิต แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance) เป็นการประกันที่ให้ความคุ้มครองชีวิตเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งตามที่ตกลงกันไว้ เช่น 10 ปี 15 ปี 20 ปี หรือจนถึงอายุ 60 ปี เป็นต้น โดยหากผู้เอาประกันเสียชีวิตภายในระยะเวลาคุ้มครอง บริษัทจะจ่ายเงินให้ผู้รับประโยชน์ตามจำนวนเอาประกัน แต่หากไม่เสียชีวิตในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ กรมธรรม์จะสิ้นสุดลงโดยไม่มีเงินคืน ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองสูงในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น วัยเริ่มทำงาน วัยมีภาระต้องส่งเสียครอบครัว เป็นต้น
- ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) เป็นประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้เอาประกัน และมีการสะสมเงินค่าเวนคืนไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งหากผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบสัญญา บริษัทจะจ่ายเงินก้อนดังกล่าวคืนให้ อีกทั้งยังสามารถนำไปกู้ยืมได้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองระยะยาว พร้อมวางแผนออมเงินไปในตัว
นอกจากนี้ บางบริษัทอาจนำเสนอแบบประกันชีวิตสะสมทรัพย์ (Endowment Life Insurance) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการประกันชีวิตและการออมเงิน โดยจะมีการแบ่งสัดส่วนเบี้ยประกันบางส่วนเพื่อสะสมเป็นเงินออม ซึ่งหากผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา จะได้รับเงินก้อนพร้อมดอกผลสะสม แต่หากเสียชีวิตก่อนครบสัญญา บริษัทจะจ่ายเงิน 2 ส่วน คือ ทุนประกันชีวิต และมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ ณ ขณะนั้น ให้แก่ผู้รับประโยชน์
เงื่อนไขความคุ้มครอง ผลประโยชน์ และข้อยกเว้นของประกันชีวิต จะแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท และแต่ละแบบประกัน จึงควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความต้องการ และสภาพทางการเงินของตนเองมากที่สุด
ข้อดีของประกันชีวิต
ประกันชีวิตนอกจากจะให้ความคุ้มครองชีวิตของผู้เอาประกันแล้ว ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ดังนี้
- สร้างหลักประกันทางการเงินให้แก่ครอบครัว หากเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือไม่สามารถหารายได้เลี้ยงครอบครัวได้
- บางแบบประกันมีการสะสมเงินค่าเวนคืนไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งจะได้รับเงินก้อนคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา หากมีชีวิตอยู่
- ช่วยสร้างวินัยในการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการจ่ายเบี้ยประกันเป็นประจำทุกงวด
- สามารถนำมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้
- นำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้ ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด
- ในกรณีเร่งด่วน สามารถกู้เงินจากมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ได้ โดยจะมีดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ควรเลือกทำประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพดี?
เมื่อทราบข้อมูลความแตกต่างของประกันทั้งสองประเภทแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าตนเองควรเลือกทำประกันแบบไหนดี ซึ่งอันที่จริงแล้ว ทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพต่างก็มีความสำคัญ และควรทำควบคู่กันไปเพื่อความคุ้มครองที่ครอบคลุม เนื่องจากต่างก็ป้องกันความเสี่ยงคนละด้าน
ดังนั้น คำถามไม่ควรเป็น "ควรเลือกทำประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพดี" แต่ควรเป็น "ควรวางแผนทำประกันชีวิต และประกันสุขภาพในสัดส่วนเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสมกับความต้องการและกำลังทางการเงินของเราที่สุด"
สำหรับผู้ที่มีภาระทางการเงินสูง มีคนที่ต้องรับผิดชอบดูแลหลายคน การทำประกันชีวิตในสัดส่วนมากกว่าประกันสุขภาพก็มีความสมเหตุสมผล เพราะหากเสียชีวิตไปแล้ว ก็จะได้อุ่นใจว่ามีเงินก้อนมารองรับภาระต่าง ๆ ที่ตามมาได้ ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้มีภาระทางการเงินมาก แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ หรือประวัติครอบครัวเป็นโรคร้ายแรง การทำประกันสุขภาพในสัดส่วนที่มากกว่าก็อาจจะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายได้มากกว่า
แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ควรทำประกันทั้งสองอย่างควบคู่กันไป ภายใต้งบประมาณที่เหมาะสม โดยอาจเลือกแบบประกัน และวงเงินคุ้มครองที่แตกต่างกัน เช่น ทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพ วงเงินคุ้มครองสูง ควบคู่กับประกันสุขภาพแบบผู้ป่วยในเพียงอย่างเดียว หรือถ้ามีภาระต้องจ่ายหนี้ ก็อาจทำประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา 20 ปี วงเงินสูงมาก คู่กับประกันสุขภาพแบบค่าใช้จ่ายสูง ทั้งนี้ ต้องพิจารณาตามความต้องการและสถานะการเงินของแต่ละคนเป็นหลัก
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ต้องพิจารณา คือ ระยะเวลาในการทำประกัน ยิ่งอายุมากขึ้น เบี้ยประกันก็จะยิ่งแพงขึ้นด้วย โดยเฉพาะประกันสุขภาพ ที่บริษัทมักมีนโยบายปรับเบี้ยประกันตามช่วงอายุ ดังนั้น เพื่อให้ได้เบี้ยประกันที่ราคาไม่แพง และสุขภาพที่ยังแข็งแรงพอจะผ่านการพิจารณารับประกันในเงื่อนไขที่ดีได้ จึงควรเริ่มทำประกันตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ไว้ เพื่อปกป้องสุขภาพและชีวิตของคุณตั้งแต่วันนี้จนถึงอนาคตอย่างยั่งยืน
สรุปบทความ
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่าประกันชีวิต และประกันสุขภาพ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และแตกต่างกันในหลายประเด็นที่สำคัญ เช่น วัตถุประสงค์ในการทำ ผลประโยชน์ คุ้มครอง เงื่อนไขการจ่ายเงิน และข้อยกเว้น ซึ่งผู้ที่กำลังวางแผนทำประกันจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อวิเคราะห์ว่าแบบไหนเหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของตนมากที่สุด
สุดท้ายนี้ หากพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว การมีทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพควบคู่กันไป ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและการเงินของแต่ละคน จะช่วยให้ได้รับความคุ้มครองที่ดีที่สุด และสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคงและอุ่นใจ ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตอันยาวไกลอย่างแน่นอน