องค์อัครศาสนูปถัมภก

จำนวนผู้เข้าชม : 370
Tag:

องค์อัครศาสนูปถัมภก

     ด้วย พระราชปณิธานที่จะทรงครองแผ่นดินโดยธรรม จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทรงศึกษาธรรมให้ถ่องแท้ถึงจุดศูนย์กลางแห่งธรรมะให้ใกล้ที่สุด

     อนึ่ง พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย และทรงเป็นคนไทย จึงทรงเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ว่าเป็นปรัชญาแห่งความจริงตลอดมาไม่เคยผิดพลาด แสงสว่างแห่งธรรมะประดุจประทีปส่องสว่างที่ช่วยให้มองเห็นความจริง

     ดังนั้น เมื่อทรงมีโอกาสอันเหมาะสม จึงทรงตัดสินพระทัยผนวชเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ ๒๔๙๙ และทรงได้รับถวายพระฉายาในพระบวรพุทธศาสนาว่า “ภูมิพโลภิกขุ” ตลอดช่วงระยะเวลา ๑๕ วันที่ทรงผนวชนั้น ทรงศึกษาพระธรรมวินัยและดำรงพระองค์ตั้งมั่นอยู่ในสมณเพศอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งครบกำหนดจึงทรงลาผนวช

     ครั้งหนึ่งทรงเคยมีพระบรมราโชวาทพระราชทานในพิธีเปิดการประชุมใหญ่ สมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๔ ว่า

     “...ธรรมะในพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่แสดงสัจธรรม ความแท้จริงของสภาวธรรมทุกสิ่ง ดังนั้นถึงหากสังคมจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็ไม่เกินไปกว่าที่ชาวพุทธจะพิจารณารู้เท่าทันได้ เมื่อได้ปฏิบัติอยู่ในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยถูกต้อง มั่นคงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงใดๆในสังคม ก็ไม่ใช่เหตุที่ควรวิตกอีกต่อไป.....”    

     ด้วยประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทยตลอดมา อีกทั้งพระองค์ยังทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา คนไทยทุกคนจึงมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาใดๆก็ได้ตามความเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งทำให้ทุกศาสนาในประเทศไทยอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขโดยเสมอภาคกัน ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ผู้แทนสถาบันและองค์กรที่เกี่ยวกับศาสนา เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาผกาภิรมย์ สวนจิครลดา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๑ ว่า

     “...ศาสนานั้น จะเป็นศาสนาใดก็ตาม ย่อมมีจุดประสงค์หลายอย่างหลายชั้น และแต่ละศาสนามีวิธีปฏิบัติต่างๆกัน ซึ่งสรุปแล้วก็คือ วิธีหาความสุข ความร่มเย็นให้แก่ตัว การขึ้นสวรรค์หรือการสำเร็จคือ การบรรลุความสุขสุดยอดนั่นเอง...”

 

ข้อมูล : เรียบเรียงจากสมุดตราไปรษณียากรพิเศษ “ดั่งดวงแก้วแห่งแผ่นดิน”