สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
จำนวนผู้เข้าชม : 778

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๙๕ เวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะโรง จัตวาศก อธิกวาร จุลศักราช ๑๓๑๔ นับเป็นปีที่ ๗ แห่งการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช รัชกาลที่ ๙
เมื่อทรงเจริญพระชนมายุได้ ๑ พรรษา ทรงพระกรุราโปรดเกล้าฯให้พระราชทานพระนาม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นผู้ตั้งถวายตามดวงพระชะตาว่า
“สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ์ เทเวศธำรงสุบริบาล
อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร”
ทรงอธิบายเป็นพระมงคลนามตามพระราชตระกูล คือได้อัญเชิญพระนามฉายาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระไปยิกาธิราช (ปู่ทวด) ปรากฎในขณะทรงพระผนวชว่า วชิรญาณะ ผนวกกับ อลงกรณ์ จากพระนามจุฬาลงกรณ์ ของรัชกาลที่ ๕
เมื่อมีพระชนมายุครบ ๒๐พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
"สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร"
วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ นับเป็นวันแห่งความสูญเสียที่นำพาความเศร้าโศกอาลัยมาสู่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า เมื่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ซึ่งพระองค์ทรงเป็นองค์รัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาล ในการสืบราชสันตติวงศ์ (เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๑๕)
แต่พระองค์ท่านยังมิได้ขึ้นครองราชตามราชประเพณีในทันที พระองค์ทรงขอเวลาแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนทั้งประเทศ และทรงระลึกถึงพระราชบิดา ไปก่อนระยะเวลาหนึ่ง ส่วนกระบวนการทางกฎหมายในการอัญเชิญสืบราชสมบัตินั้น ให้รอเวลาที่เหมาะสมต่อไป
วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กราบบังคมทูลอัญเชิญพระ
รัชทายาท เสด็จขึ้นทรงราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ สืบราชสันตติวงศ์ ในการนี้ ทรงมีพระราชดำรัสตอบรับการขึ้นทรงราชย์ ว่า “ตามที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาและกล่าวในนามของปวงชนชาวไทย เชิญข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น ข้าพเจ้าขอตอบรับเพื่อสนองพระราชปณิธานและเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง”
นายกรัฐมนตรี ประกาศพระปรมาภิไธย ว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร”
อนึ่ง “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เสด็จขึ้นเป็นกษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยตามกฎมณเฑียรบาล ตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปี พระพุทธศักราช ๒๕๕๙ ตรงกับปีวอก ที่จุลศักราช ๑๓๗๓ มหาศักราช ๑๙๓๘ ในรัชสมัยรัตนโกสินทร์ศก ๒๓๕ เป็นวันที่ ๑ ปีที่ ๑ ของรัชกาลปัจจุบัน ทั้งนี้จะไปขานคำว่า “พระบาท” นำหน้าพระนาม “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พระองค์ใหม่จนกว่าจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นต่อปวงชนชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในหลากหลายด้าน ทั้งในการเสด็จพระราชดำเนินพร้อมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งในการเสด็จพระราชดำเนินแทน ๒ พระองค์ และในการเสด็จพระราชดำเนินส่วนพระองค์เอง เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อความมั่นคงสถาพรของประเทศไทย และเพื่อทรงช่วยเหลือประชาชนคนไทยให้อยู่ดีมีความสุข พสกนิกรไทยต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระองค์ท่าน ขอองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ แห่งพระบรมราชจักรีวงษ์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ข้อมูล : เรียบเรียงจาก นสพ.มติชน และ นสพ.เดลินิวส์