ขับรถไม่เคยชนแต่ยังจำเป็นต้องมีประกัน? เหตุผลที่คุณควรทำไว้
จำนวนผู้เข้าชม : 5
ขับรถไม่เคยชนแต่ยังจำเป็นต้องมีประกัน? เหตุผลที่คุณควรทำไว้
แม้คุณจะเป็นคนขับรถที่ระมัดระวัง ไม่เคยมีประวัติอุบัติเหตุเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากทุกความเสี่ยงบนท้องถนนได้ 100% เพราะอุบัติเหตุไม่ได้เกิดจากตัวคุณเสมอไป แต่อาจมาจากคนอื่นหรือเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น รถคันอื่นชน รถเสียหายจากภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ที่เกินควบคุม การมีประกันรถยนต์จึงไม่ใช่แค่การกันไว้ก่อน แต่คือเกราะป้องกันที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความอุ่นใจให้คุณทุกครั้งที่จับพวงมาลัย
TIPINSURE พาคุณไปดูเหตุผลสำคัญว่าต่อให้คุณขับรถดีแค่ไหน ก็ยังควรมีประกันรถยนต์ติดตัวไว้เสมอ และคุณจะเข้าใจว่าประกันไม่ได้ทำไว้เพราะกลัวชน แต่ทำไว้เพราะชีวิตบนถนนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ไม่ได้ใช้ประกัน แต่ใช้ชีวิตบนถนนทุกวัน
ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนขับรถที่มีวินัย ระมัดระวังทุกครั้ง ขับไม่เร็ว ไม่ปาดหน้า รักษาระยะห่าง และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด แต่คุณไม่สามารถควบคุมการกระทำของผู้ขับขี่คนอื่นได้เลย บนท้องถนนมีทั้งคนที่ขับรถเร็วเกินกำหนด เมาแล้วขับ เล่นโทรศัพท์ขณะขับรถ หรือแม้แต่คนที่เพิ่งหัดขับและยังไม่มีทักษะดีพอ
อุบัติเหตุจึงสามารถเกิดขึ้นได้แม้คุณจะไม่ใช่ฝ่ายผิด และสิ่งที่น่ากังวลคือ ต่อให้คุณไม่ประมาท แต่ก็อาจต้องรับผลกระทบจากความประมาทของผู้อื่น เช่น รถของคุณถูกชนท้ายขณะจอดติดไฟแดง หรือถูกรถจากอีกเลนขับพุ่งเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
ในสถานการณ์แบบนี้ การมีประกันรถยนต์ไว้จะช่วยคุณอย่างมาก ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถ การเจรจากับคู่กรณี การเรียกรถฉุกเฉิน หรือแม้แต่การเคลมค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาต่อรองด้วยตัวเองทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ต่อให้คุณขับดีแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะปลอดภัย 100% บนท้องถนนเสมอไป และการมีประกันรถยนต์ติดตัวไว้ คือการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องรอให้เจอปัญหาก่อนแล้วค่อยหาทางแก้
ภัยธรรมชาติและเหตุฉุกเฉิน ป้องกันได้ล่วงหน้า
บนท้องถนน คุณอาจเตรียมพร้อมรับมือกับการขับขี่ของตัวเองได้ แต่กับภัยธรรมชาติและเหตุไม่คาดฝัน คุณไม่มีทางควบคุมหรือคาดเดาได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศแปรปรวน อุบัติเหตุจากสิ่งแวดล้อม หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นแม้รถจะจอดอยู่เฉยๆ ก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความเสียหายที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการแก้ไข
ตัวอย่างภัยธรรมชาติและเหตุฉุกเฉินที่ประกันช่วยดูแล เช่น
- น้ำท่วม จอดรถไว้ในลานจอดแล้วฝนตกหนักจนน้ำท่วมถึงเครื่องยนต์ หรือรถดับกลางทางจากเหตุน้ำท่วมบนถนน ประกันชั้น 1 ส่วนใหญ่ให้ความคุ้มครองทั้งค่าซ่อมเครื่อง ระบบไฟฟ้า และค่าเคลื่อนย้ายรถ
- ลูกเห็บตก แม้เกิดไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นมักสร้างความเสียหายกับหลังคารถ กระจกบังลม และตัวถังอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือช่วงอากาศแปรปรวน
- ไฟไหม้หรือระเบิด รถลุกไหม้จากปัญหาทางไฟฟ้า หรืออุบัติเหตุบนท้องถนนที่ทำให้เกิดไฟไหม้เสียหายรุนแรง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมหรือซื้อรถใหม่อาจสูงถึงหลักแสนถึงล้านบาท
- สัตว์เข้ารถหรือกัดสายไฟ หนูหรือสัตว์เล็กเข้าไปทำรังในห้องเครื่อง กัดสายไฟ สายเบรก หรือท่อ ทำให้รถเสียหายหรือขับไม่ได้ ซึ่งหากมีประกันที่ครอบคลุมเหตุลักษณะนี้ จะช่วยจ่ายค่าซ่อมแทนคุณ
ค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุอาจสูงเกินคาด
หลายคนอาจมองว่าการทำประกันเป็นค่าใช้จ่ายที่ยังไม่จำเป็น เพราะยังไม่เคยชนหรือไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง ค่าใช้จ่ายที่ตามมาอาจหนักกว่าที่คุณคาดไว้มาก
1. ค่าซ่อมรถ
แม้เป็นอุบัติเหตุเล็กน้อย เช่น ถูกรถเฉี่ยว กระจกแตก กันชนบุบ หรือสีถลอก ค่าซ่อมในอู่มาตรฐานก็อาจเริ่มต้นที่หลักพันจนถึงหลักหมื่น และถ้าเป็นอุบัติเหตุหนัก เช่น โครงรถเสียหาย เครื่องยนต์พัง หรือถุงลมนิรภัยทำงาน ค่าซ่อมอาจสูงถึงหลักแสนบาท
2. ค่ารักษาพยาบาล
หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณเอง ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลอาจพุ่งสูงโดยเฉพาะหากต้องรักษาแบบฉุกเฉิน ผ่าตัด หรือพักรักษาตัวหลายวัน ซึ่งหากไม่มีประกัน คุณอาจต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด
3. ค่าเสียหายต่อคู่กรณี
หากคุณเป็นฝ่ายผิด อาจต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล หรือแม้แต่ค่าขาดรายได้ของคู่กรณี หากอีกฝ่ายเป็นผู้ประกอบอาชีพที่ไม่สามารถใช้รถทำงานได้ในช่วงนั้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นเงินก้อนโต
4. ค่าทนายหรือการดำเนินคดี
ในบางกรณีที่มีการฟ้องร้อง หรือเกิดข้อพิพาทเรื่องความเสียหาย การมีประกันที่ครอบคลุมด้านกฎหมายจะช่วยให้คุณไม่ต้องจ่ายค่าทนายหรือค่าดำเนินคดีเอง
ความรับผิดชอบต่อคู่กรณีและบุคคลที่สาม
เวลาที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุเล็กหรือใหญ่ หากคุณเป็นฝ่ายผิด นอกจากต้องดูแลรถตัวเองแล้ว ยังต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก หรือที่เรียกว่าบุคคลที่สามอีกด้วย เช่น ค่าซ่อมรถคู่กรณี ค่ารักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บ ไปจนถึงค่าเสียหายของทรัพย์สินอื่นๆ อย่างรั้วบ้าน เสาไฟ หรือป้ายจราจร และโดยเฉพาะหากคู่กรณีเป็นรถราคาสูง หรือมีผู้บาดเจ็บที่ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน หากเกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต อาจมีค่าสินไหมทดแทนสูงถึงหลักล้านบาท
การมีประกันรถยนต์ชั้น 1, 2+ หรือ 3+ จะช่วยแบ่งเบาภาระนี้ได้มาก เพราะความคุ้มครองในส่วนของบุคคลที่สามจะครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมทรัพย์สิน และค่าเสียหายอื่นๆ ที่คุณต้องรับผิดชอบ และยังช่วยจัดการเรื่องเอกสารและการเคลมค่าเสียหายแทนคุณ ซึ่งนอกจากช่วยป้องกันปัญหาด้านการเงินแล้ว ยังช่วยลดความกดดันและความยุ่งยากเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด
ความอุ่นใจ คือสิ่งที่ซื้อได้จากประกัน
ในชีวิตประจำวัน คุณขึ้นรถออกจากบ้านด้วยความคุ้นชิน จนหลายครั้งมองข้ามความเสี่ยงที่แฝงอยู่ระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากผู้อื่น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าคุณจะไม่เคยเจอเรื่องร้ายแรงมาก่อนก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่เกิดขึ้นในวันข้างหน้า
การมีประกันรถยนต์ไว้จึงเปรียบเสมือนการวางแผนสำรองเพื่อความสบายใจ คุณอาจไม่ต้องใช้มันบ่อย แต่แค่รู้ว่ามีคนคอยดูแลและแบ่งเบาภาระในวันที่คุณต้องการความช่วยเหลือ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณขับรถด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องกังวลกับคำถามว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะทำอย่างไรดี? เพราะคำตอบนั้นอยู่ในมือคุณแล้วตั้งแต่วันที่คุณตัดสินใจทำประกันไว้ เพราะความอุ่นใจเป็นสิ่งที่คุณซื้อได้ และมันคุ้มค่าเสมอเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้จริง
และถ้าคุณกำลังมองหาประกันรถยนต์ที่ให้ทั้งความคุ้มครอง ครบถ้วน และบริการที่ไว้ใจ ลองปรึกษาทิพยประกันภัย เพราะที่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความคุ้มครอง แต่คือคำมั่นสัญญาที่จะอยู่เคียงข้างคุณในทุกเส้นทาง TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736