ฝุ่น PM 2.5 เข้ารถได้ไหม ป้องกันอย่างไรให้หายใจสะดวก ปลอดภัย

จำนวนผู้เข้าชม : 102
Tag:

ฝุ่น PM 2.5 เข้าในรถยนต์ได้ไหม ป้องกันอย่างไรให้หายใจคล่อง

ในช่วงที่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กำลังรุนแรง หลายคนอาจคิดว่าการอยู่ในรถยนต์จะปลอดภัยจากมลพิษทางอากาศ แต่ความจริงแล้วเป็นอย่างไร? บทความนี้ ทิพยประกันภัยรถยนต์ จะไขข้อสงสัยว่าฝุ่น PM 2.5 สามารถเข้าสู่ภายในรถยนต์ได้หรือไม่ พร้อมแนะนำวิธีป้องกันและดูแลรถยนต์เมื่อต้องขับขี่ในวันที่มีค่าฝุ่นสูง รวมถึงการพิจารณาความจำเป็นของเครื่องฟอกอากาศในรถ และวิธีการดูแลเครื่องยนต์เพื่อลดการปล่อยมลพิษ

 

ฝุ่น PM 2.5 เข้าในรถยนต์ได้ไหม

ความจริงแล้ว ฝุ่น PM 2.5 สามารถเล็ดลอดเข้าสู่ภายในรถยนต์ได้ แม้ว่าระบบปรับอากาศในรถจะมีแผ่นกรองอากาศแล้วก็ตาม เพราะแผ่นกรองทั่วไปไม่สามารถกรองอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝุ่นที่เข้าสู่ภายในรถจะน้อยกว่าการอยู่นอกรถโดยตรง

ฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมากเพียง 2.5 ไมครอนหรือเล็กกว่า ซึ่งเล็กกว่าความกว้างของเส้นผมมนุษย์ถึง 25 เท่า ทำให้สามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานและแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ปิดได้ง่าย รวมถึงภายในรถยนต์ ซึ่งอาจทำให้ระดับฝุ่น PM 2.5 ภายในรถยนต์สูงถึง 40-50% ของระดับฝุ่นภายนอกรถได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพของระบบกรองอากาศในรถ, อายุและสภาพของรถยนต์, สภาพการจราจรและสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือการเปิด-ปิดหน้าต่างและประตูรถ เป็นต้น

 

ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อรถอย่างไรบ้าง

นอกจากผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ฝุ่น PM 2.5 ยังส่งผลเสียต่อตัวรถยนต์ด้วย เช่น

  1. ทำให้ระบบกรองอากาศเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เพราะฝุ่นละเอียดจะสะสมในแผ่นกรองอากาศ ทำให้ประสิทธิภาพการกรองลดลง ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองบ่อยขึ้น เพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
  2. ระบบปรับอากาศทำงานหนักขึ้น จากฝุ่นที่สะสมในระบบปรับอากาศ ทำให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นลดลง อาจเกิดกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องโดยสาร
  3. ฝุ่นละเอียดเกาะติดบนพื้นผิวสีรถ ทำให้สีหมองคล้ำ หากไม่ทำความสะอาดบ่อยๆ อาจทำให้สีรถเสียหายในระยะยาว
  4. ฝุ่นอาจเข้าไปสะสมในเครื่องยนต์ ทำให้เกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์เร็วขึ้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว

 

ทำอย่างไรเมื่อต้องขับรถในวันที่ฝุ่น PM 2.5 ลงหนัก

เมื่อจำเป็นต้องขับรถในวันที่มีค่าฝุ่นสูง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

เลือกแผ่นกรองอากาศแบบ HEPA

ติดตั้งแผ่นกรองอากาศชนิด HEPA (High-Efficiency Particulate Air) ที่สามารถกรองอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน ควรเปลี่ยนแผ่นกรองอย่างน้อยปีละครั้งหรือทุก 15,000 กิโลเมตร

ปิดหน้าต่างทุกบานให้สนิท

ขับรถโดยปิดหน้าต่างทุกบานให้สนิท และเปิดระบบปรับอากาศในโหมดหมุนเวียนอากาศภายใน (Air Recirculation) เพื่อลดการนำอากาศจากภายนอกเข้ามาในรถ

ตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ

ดูแลรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพในการกรองอากาศของรถ

 

เครื่องฟอกอากาศในรถจำเป็นไหม

เครื่องฟอกอากาศในรถถือเป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกรองอากาศภายในรถได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 รุนแรง อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศในรถ ควรพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

  1. ประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น PM 2.5
  2. ขนาดและการติดตั้งที่เหมาะสมกับพื้นที่ภายในรถ
  3. การใช้พลังงานและผลกระทบต่อแบตเตอรี่รถ
  4. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเปลี่ยนแผ่นกรอง

แม้ว่าเครื่องฟอกอากาศในรถจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่ต้องขับรถเป็นเวลานานในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง การลงทุนในเครื่องฟอกอากาศคุณภาพดีอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว

 

ถ่ายน้ำมันเครื่องช่วยลด PM 2.5 ได้จริงไหม

มีความเชื่อว่าการถ่ายน้ำมันเครื่องสามารถช่วยลดการปล่อยฝุ่น PM 2.5 ได้ ซึ่งมีส่วนจริงอยู่บ้าง เนื่องจากน้ำมันเครื่องที่สะอาดจะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้นและลดการปล่อยมลพิษ แต่การถ่ายน้ำมันเครื่องเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ทั้งหมด ควรดูแลรักษารถยนต์ในด้านอื่นๆ ร่วมด้วย

 

สรุปบทความ

ฝุ่น PM 2.5 สามารถเข้าสู่ภายในรถยนต์ได้ แม้จะในปริมาณที่น้อยกว่าภายนอก ดังนั้นการป้องกันและการดูแลรถยนต์เมื่อต้องขับในวันที่มีค่าฝุ่นสูงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การใช้แผ่นกรองอากาศแบบ HEPA การปิดหน้าต่างและเปิดระบบหมุนเวียนอากาศภายใน รวมถึงการดูแลรักษาเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ

สำหรับผู้ที่ต้องขับรถเป็นประจำในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง การพิจารณาใช้เครื่องฟอกอากาศในรถอาจเป็นทางเลือกที่ดี แม้จะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ท้ายที่สุด การดูแลรถยนต์ควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ การเลือกใช้ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการคุ้มครองที่ครอบคลุมในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากมลพิษหรืออุบัติเหตุต่างๆ