ใบอนุญาตขับขี่สากล คืออะไร ขับขี่ได้ทุกประเทศเลยหรือเปล่า
จำนวนผู้เข้าชม : 2229
รู้จักกับใบอนุญาตขับขี่สากล ใช้ประเทศอะไรได้บ้าง
การเดินทางไปต่างประเทศด้วยการขับรถยนต์เที่ยวเอง กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว ยังมอบความสะดวกสบายในการเดินทางอีกด้วย แต่ก่อนออกเดินทาง สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "ใบอนุญาตขับขี่สากล" ซึ่งจะทำให้เราสามารถขับรถในต่างแดนได้อย่างถูกกฎหมาย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับใบอนุญาตขับขี่สากลกันให้มากขึ้นดีกว่า ว่ามีกี่แบบ ทำได้อย่างไร และสามารถใช้ได้ในประเทศอะไรบ้าง
ใบอนุญาตขับขี่สากล คืออะไร?
ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สากล หรือ International Driving Permit (IDP) คือเอกสารยืนยันตัวตนที่ออกให้โดยประเทศต้นทาง เพื่อใช้สำหรับขับขี่รถยนต์ในต่างประเทศที่รองรับใบขับขี่สากลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว ทำงาน หรือไปศึกษาต่อ ก็สามารถใช้ใบขับขี่ประเภทนี้ได้
ใบอนุญาตขับขี่สากลมีกี่แบบ
ใบอนุญาตขับขี่สากลมี 2 ประเภทหลัก ๆ ตามอนุสัญญา 2 ฉบับ คือ "อนุสัญญาเจนีวา 1949" และ "อนุสัญญาเวียนนา 1968" แต่เดิมประเทศไทยมีเพียงใบขับขี่ตามอนุสัญญาเจนีวาเท่านั้น แต่หลังจากมีการแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาให้ครอบคลุมมากขึ้น จนเกิดเป็นอนุสัญญาเวียนนา ประเทศไทยจึงได้ประกาศให้ทำใบขับขี่ตามอนุสัญญาใหม่นี้ด้วย โดยเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นมา
อนุสัญญาเจนีวา 1949
- ใช้ได้กับ 101 ประเทศที่เป็นภาคีสมาชิก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี เป็นต้น
- มีอายุการใช้งาน 1 ปี นับจากวันที่ออกใบอนุญาต
- เป็นใบอนุญาตที่ประเทศไทยออกให้มาอย่างยาวนาน จนกระทั่งมีการเพิ่มอีกประเภทในปี 2564
อนุสัญญาเวียนนา 1968
- ใช้ได้กับ 84 ประเทศ ซึ่งบางประเทศไม่ได้เป็นสมาชิกของอนุสัญญาเจนีวา
- มีอายุการใช้งานนานถึง 3 ปี
- ประเทศไทยเพิ่งเริ่มออกใบอนุญาตตามอนุสัญญานี้ ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2564
- เหมาะสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศที่ไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาเจนีวา
ขั้นตอนการขอใบอนุญาตขับขี่สากล
ใครที่อยากทำใบขับขี่สากล เรามีขั้นตอนและเอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการขอใบอนุญาตขับขี่สากล มาฝากดังนี้
เอกสารที่ต้องใช้
- หนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุ (ฉบับจริงและสำเนา)
- บัตรประชาชน (ฉบับจริง)
- ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล (แบบ 5 ปี) หรือแบบตลอดชีพที่ยังไม่หมดอายุ ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถสาธารณะ (ฉบับจริง)
- รูปถ่าย 2 นิ้ว (4x6 ซม.) 2 รูป ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน หน้าตรง เห็นใบหน้าชัดเจน
กรณีเป็นชาวต่างชาติ ต้องใช้ใบอนุญาตขับรถ (ไม่ใช่ชั่วคราว), หนังสือเดินทางที่มีวีซ่า Non-Immigrant, ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบอนุญาตทำงาน (สามารถใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ได้) หรือหลักฐานการได้รับการตรวจลงตราพิเศษที่ยังไม่หมดอายุ
กรณีไม่ได้ไปยื่นด้วยตนเอง ให้เตรียมสำเนาเอกสารของผู้มอบอำนาจ รวมถึงหนังสือมอบอำนาจฉบับจริงพร้อมอากรแสตมป์ 10 บาท และบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
ค่าธรรมเนียมและระยะเวลา
- ค่าธรรมเนียมในการขอใบอนุญาตขับขี่สากลอยู่ที่ 505 บาท
- หลังยื่นเอกสารแล้วสามารถรอรับใบขับขี่ได้ทันที ณ สำนักงานขนส่งที่ยื่นเรื่องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
- เมื่อได้รับใบขับขี่สากลแล้ว ต้องใช้คู่กับใบขับขี่ของประเทศไทยทุกครั้งที่ขับรถในต่างประเทศ
ข้อควรระวังในการขับรถท่องเที่ยวต่างประเทศ
แม้จะมีใบขับขี่สากลแล้ว แต่การขับรถท่องเที่ยวในต่างแดนก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังอยู่ ได้แก่
- กฎจราจรและป้ายบอกทางที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ต้องศึกษามาให้ดี
- การจราจรที่หนาแน่น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ต้องใจเย็นและใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
- ความคุ้มครองจากประกันภัยที่อาจไม่ครอบคลุมในต่างประเทศ จึงควรซื้อประกันเพิ่มเติม
- สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสภาพถนนหนทางที่แตกต่าง อาจเป็นอุปสรรคในการขับขี่
ดังนั้น ก่อนออกเดินทางควรศึกษาข้อมูลประเทศที่ต้องการไปให้ดี และที่สำคัญควรเลือกซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ เพื่อให้การขับรถท่องเที่ยวเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ไม่ประมาท และห้ามละเลยกฎจราจรเด็ดขาด
สรุปบทความ
การขับรถท่องเที่ยวในต่างแดนเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและได้สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ ๆ อย่างใกล้ชิด แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะกฎจราจรและมารยาทการขับขี่ในแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน อาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ง่าย นอกจากต้องศึกษากฎระเบียบให้ดีแล้ว การทำประกันภัยรถยนต์ หรือประกันเดินทางไปด้วยจะยิ่งช่วยให้อุ่นใจมากขึ้น เพื่อให้การเดินทางตลอดทริปของคุณเป็นไปได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และมีความสุขที่สุด